เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โดยสังคมเขามอง วัดที่ไหนน่าเชื่อถือศรัทธา เขาจะไปที่วัดนั้น ทีนี้พอเวลาเชื่อถือศรัทธา ความเชื่อถือศรัทธามันเชื่อถือศรัทธามาจากสัจธรรม สัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีความเชื่อถือศรัทธามาจากที่นั่น ถ้าเชื่อถือศรัทธามาจากที่นั่น นี่เวลามีน้ำใจ เวลาเรามีสัจจะ มีศรัทธามีความเชื่อ มีน้ำใจ เราอยากแสวงหาคุณงามความดีของเรา ถ้าแสวงหาคุณงามความดีของเรานะ มันจะใกล้มันจะไกลขนาดไหน ถ้าเรามีความเชื่อของเรา เราจะขวนขวายของเรา จะไปทำบุญที่นั่น

พอทำบุญที่นั่น เช้าขึ้นมารถจอดเป็นแถว รถจอดเป็นแถวๆ เขาก็ร่ำลือว่าวัดนี้รวยมาก ใครๆ ก็ร่ำลือว่าวัดนี้รวยมากนะ ฉะนั้น พอรวยมากขึ้นมา คำว่า “รวย” มันรวยที่ไหนล่ะ ถ้ามันรวยที่วัตถุ รวยที่วัตถุ ไอ้บริษัทขายรถมันมีมากกว่านี้ ถ้ามันรวยที่วัตถุ วัตถุโลกเขามหาศาล พระจะสร้างกุฏิหรูหราขนาดไหน สู้คอนโดไม่ได้ ตึกหลังหนึ่งมันเป็นพันๆ ล้าน หมื่นๆ ล้าน ถ้าจะไปสู้กันด้วยวัตถุ สู้เขาไม่ได้หรอก เพราะมันทุนนิยม ฉะนั้น สิ่งที่เขามองโลกมองอย่างนั้น

แต่ถ้าเขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา ศรัทธาความเชื่อในอะไร? เชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละ ให้ปล่อยวาง ให้ค้นคว้าสิ่งที่เป็นสัจจะความจริงในหัวใจของตน ถ้าค้นคว้าสัจจะความจริงในหัวใจของตน ไอ้เรื่องวัตถุ เห็นไหม นกเขามีรวงมีรัง คนก็ต้องมีที่พึ่งอาศัย พระก็อยู่ร้าน อยู่ร้าน อยู่ที่มุงบัง เวลาขโมยมันเข้ามา ขโมยมันเข้ามา มันเข้าไปงัดกุฏิพระ แล้วมันก็ออกไป มันไม่ได้อะไรเลย เราภูมิใจมาก พอภูมิใจมาก ไม่ได้ปั๊บ มันก็มาทุบรถ มางัดโรงไม้ เพราะวัดวัดหนึ่งมันก็มีสิ่งปลูกสร้าง มีที่อยู่ที่อาศัย มันต้องมีเครื่องมือบำรุงรักษา ที่โรงไม้มันก็มีห้องเก็บเครื่องมือ มันก็ได้พวกสว่าน ได้เครื่องมือการบำรุงรักษานั้นไป เล็กน้อย แต่เวลามันต้องการ มันก็ทุบรถเลย พอมันทุบรถ พอทุบรถไม่ได้มันก็ไปงัดบ้านพักโยมเลย มันเอาตรงนั้นน่ะ

มันเห็นว่าเพราะมันเอาที่พระแล้วพระไม่มีไง มันงัดกุฏิพระเข้าไปแล้วพระไม่มี ไม่ได้อะไรจากพระไป ถ้าไม่ได้อะไรจากพระไป สิ่งที่เราภูมิใจ ภูมิใจที่ว่าพระเรา เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย มีปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ที่อยู่ที่อาศัย ที่อยู่อาศัยเพื่ออะไร? เพื่อค้นคว้าหาสัจจะในความเป็นจริง แต่สิ่งที่มันเกินกว่านั้นไป เกินกว่านั้นไป เวลาเขามาลักขโมย นั่นแหละเขาได้สิ่งนั้นไป ถ้าได้สิ่งนั้นไป สิ่งนั้นมันเป็นอะไรล่ะ

เวลาเขาทำสิ่งใด คนมาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อเสียสละ เพื่อทำคุณงามความดี เพื่อมีศีลมีธรรม การขโมย การลักการขโมยมันผิดศีลผิดธรรมอยู่แล้วล่ะ พอมันผิดศีลผิดธรรม แล้วไปลักขโมยผู้ที่ทรงศีล ผู้ที่เขามาเสียสละ บาปกรรมมันจะเพิ่มมากขึ้นๆ ของเขาไป เวลาการกระทำทำอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลามองว่าวัดร่ำวัดรวย ถ้ามันรวย รวยศีลรวยธรรม สมควรที่จะรวย แต่ถ้ามันรวยด้วยวัตถุ รวยโดยสิ่งฟุ้งเฟ้อ สิ่งนั้นไม่สมควร ไม่สมควร ไม่สมควรเลย ทีนี้เวลาสมควรขึ้นมา เราจะบอกว่าเวลาพระของเราอยู่กันโดยสมถะ พระของเราอยู่โดยประสาของพระ เวลาโยมมาต่างหาก ไอ้รถเก๋งจอดเยอะๆ ของโยมทั้งนั้นแหละ ทีนี้ใครจะไปจะมา สมบัติสิ่งใดที่เอามา ต้องดูแลต้องรักษา ไม่ควรเอาของมีค่ามา ว่าอย่างนั้น ถ้าของใครมีค่าควรเก็บไว้ที่บ้าน ควรเก็บไว้ที่ปลอดภัย ฉะนั้น เวลามาภาวนาก็มาภาวนาด้วยเอาหัวใจมา เอาร่างกายของเรามา เรามาเพื่อคุณงามความดีไง ถ้าคุณงามความดีของเรานะ คุณงามความดี สิ่งที่เป็นศีลเป็นธรรมมันเข้ากับหัวใจ

หัวใจของคนเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันต้องการสิ่งใดๆ คนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็ทุกข์ คนจนทุคตะเข็ญใจมันก็ทุกข์ เวลาความทุกข์ ความทุกข์เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริง สิ่งที่เขาเสาะหา เขาเสาะหาสัจธรรม หาสัจธรรม หัวใจนี้เรียกร้องความช่วยเหลือๆ เราจะเอาอะไรไปช่วยเหลือมัน

วัตถุช่วยเหลือหัวใจไม่ได้ แต่คนที่หัวใจที่มีคุณธรรมต่างหาก หัวใจที่มีน้ำใจต่างหาก วัตถุนั้นจะเป็นประโยชน์กับหัวใจนั้น เพราะหัวใจนั้นได้เสียสละสิ่งนั้นไป เสียสละสิ่งนั้นไป ทิ้งเหวๆ ทำบุญให้ทิ้งเหว โยนทิ้งไป แต่ถ้าโยนทิ้งไป โยนทิ้งไปก็ดูมันต่ำต้อยใช่ไหม ก็โยนทิ้งเหวไง เวลาทิ้งเหวแล้ว นั่นล่ะปฏิคาหก นั่นล่ะได้บุญมากที่สุด

ออเซาะฉอเลาะนั่นน่ะบุญมันหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว มัวแต่ออเซาะกันอยู่อย่างนั้นแหละ มันไร้สาระ เราต้องการสาระแก่นสาร ต้องการความจริง ถ้าความจริงขึ้นมาแล้ว ทำบุญทิ้งเหว ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช้า พุทธกิจ ๕ เช้าจะออกบิณฑบาต เล็งญาณเลย จิตใจดวงไหนเขามีอำนาจวาสนา แต่อายุขัยเขาจะสั้นลง ต้องรีบไปเอาใจดวงนั้นก่อน เพราะเดี๋ยวเขาจะหมดโอกาส

ครูบาอาจารย์ท่านจะออกบิณฑบาต ท่านมีหูมีตาของท่าน คนไหนจิตใจสูงส่ง คนไหนจิตใจปานกลาง คนไหนจิตใจต่ำต้อย ต่ำต้อยขึ้นมาแล้วก็มาโอดโอย มาคร่ำครวญ คร่ำครวญว่า “แหม! ไม่เมตตาฉันเลย”

เมตตาอะไร พูดธรระมันก็ไม่รู้เรื่อง เขามาเอาคุณธรรม เอาสัจธรรม เขาไม่ได้มาเอาหน้าเอาตา ถ้าเขาเอาสัจธรรม สัจธรรมอันนั้นมันเป็นความจริงอยู่แล้ว ถ้าความจริงอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านมีหูมีตาทั้งนั้นแหละ ถ้ามีหูมีตา ท่านรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าควรไม่ควร สิ่งนั้นสำคัญ เรามาวัดมาวาเอาสิ่งนี้ไง เพราะหัวใจมันเรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลือ มันเรียกร้องอะไรช่วยเหลือล่ะ สิ่งที่เราพูดออกมามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ สิ่งนั้นอนุสัยมันนอนเนื่องออกมา การนอนเนื่องออกมา นอนเนื่องออกมาเพื่อประโยชน์ของใคร? ประโยชน์กิเลสทั้งนั้น ประโยชน์ทำให้หัวใจนี้คลอนแคลน หัวใจนี้สั่นไหว หัวใจนี้ไม่มีหลักมีเกณฑ์

แต่ถ้าหัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานะ ของนอกกาย ของนอกกายแล้ว ของนอกกายมันจะมีค่าอะไรถ้าหัวใจเรามีคุณค่ากว่า ทีนี้หัวใจมีคุณค่ากว่า ของนอกกายมันเรื่องของนอกกายนะ ถ้าของนอกกายมันเรื่องอย่างหนึ่ง แล้วของในกายล่ะ ของในกายคือหัวใจของเรา หัวใจของเรามีศีลมีธรรมจริงหรือเปล่า ถ้ามีศีลมีธรรมจริง มันมีจุดยืนของมัน ถ้ามีจุดยืนของมัน คนที่มีจุดยืน คนที่รับผิดชอบ ความรับผิดชอบนะ เป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ หน้าที่มันก็ต้องดูแลรักษา นี่ของของสงฆ์

ภิกษุสมัยพุทธกาลนะ วัดวามันน้อยใช่ไหม มันจะมีที่พัก ที่พักเขาจะเป็นที่พักนะ ทำเป็นเพิงไว้ เป็นร้านไว้ แล้วเขาก็จะมีตั่ง มีของใช้ของสงฆ์ มีหมอนมีมุ้งผูกไว้ ภิกษุไปภาวนา วิเวกไป ไปที่ไหนมีที่พักก็พัก แต่เป็นของสาธารณะ เอามาใช้ จากที่นั่นไป ไม่เก็บ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะอะไร เพราะปลวกมันจะกิน เวลาหมอน หนูมันจะกัด มันเสียหาย ถ้าไม่ทำ เป็นอาบัติอีกต่างหาก

บอกว่า “เป็นของนอกกายๆ”...ใช่ มันเป็นของนอกกาย ของนอกกายเป็นที่อาศัย นกมันยังมีรวงมีรังของมัน พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม ทีนี้ปัจจัยเครื่องอาศัยใช้แล้วต้องรู้จักเก็บรู้จักรักษา รู้จักรักษาเพราะเป็นของของสงฆ์ ของเขาหามา ญาติโยมก็ปากกัดตีนถีบ เขาหาของเขามา เขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์กับสมณะ สมณะใช้ของของเขาแล้วสมณะรู้จักดูแลรักษาหรือไม่ ถ้าสมณะรู้จักดูแลรักษา สมณะที่แท้จริง สมณะในหัวใจ ถ้าสมณะในหัวใจ มันมีความระลึก มันมีความละอาย มันมีความขยันหมั่นเพียร

ความเพียรชอบ ความเพียร การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อหามรรคหาผลขึ้นมา เพื่อแก้กิเลสในหัวใจของตน ปัญญาอย่างนั้น ปัญญาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นในหัวใจ แล้วปัญญาหยาบๆ อย่างนี้ดูแลรักษา ถ้าไม่มีปัญญา มันโง่ขนาดนั้นมันฆ่ากิเลสได้อย่างไร คนจะฆ่ากิเลสนะ มันปัญญาภายใน เวลาภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้น มันต้องมีความสงบของใจใช่ไหม ใจมันสงบแล้วมันพยายามรำพึงให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง จิตใจมันต้องมีสัมมาสมาธิ จิตใจมันต้องตั้งมั่น

จิตใจตั้งมั่นๆ คนที่จิตใจตั้งมั่นจะโลเลไหม แต่ของเรามีแต่สัญญาอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกหวั่นไหวไปหมดเลย มันไม่มีสมาธิ พอไม่มีสมาธิก็จิตจอมปลอม จิตจอมปลอมเพราะอะไร เพราะสัญญาอารมณ์มันเป็นเปลือก อาการของใจมันครอบคลุมหัวใจนี้ไว้ แล้วมันครอบคลุมหัวใจ มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากใช่ไหม แล้วก็เปรียบเทียบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางๆ เห็นไหม มันสั่นไหวไปหมด มันปล่อยวางไม่ได้ เพราะมันเป็นสัญญาอารมณ์ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไง

พอศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ประเพณีวัฒนธรรมเขามีวัฒนธรรมประเพณีของเขา เขามีมารยาทสังคมของเขา เราก็พยายามดัดแปลงๆ วัฒนธรรมมันกล่อมเกลา กล่อมเกลาให้คนอยู่ในหลักในเกณฑ์ กล่อมเกลาให้คนเป็นคนดี นี่ไง กล่อมเกลาให้เป็นคนดี

แต่ถ้ามันจะเอาจริงๆ ถ้าจิตไม่สงบ ไม่เข้าไปสู่ฐีติจิต ไม่เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ ไม่เข้าไปสู่ปฏิสนธิจิต ไม่เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด มันจะเข้าไปเห็นความจริงไม่ได้ ไม่มี พอไม่มีก็ฉวยโอกาส ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่มีใครเชื่อถือในศาสนา ท่านใช้ชีวิตของท่านพิสูจน์ทั้งชีวิต อยู่ในป่าในเขาของท่านทั้งชีวิตเลย เพื่ออะไร? เพื่อให้ชาวพุทธมั่นคง มั่นคงว่ามรรคผลมันมีอยู่ สัจธรรมยังมีอยู่ ไม่มีกาลไม่มีเวลา เวลามาบั่นทอนไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดบั่นทอนสัจจะความจริงอันนี้

ถ้ามันบั่นทอนได้ ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี พอ ๕,๐๐๐ ปีไปแล้ว ถึงคราวภัทรกัปไม่มีศาสนา พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้องค์ต่อไป อนาคตวงศ์ยังมีข้างหน้า นี่คืออะไร? นี่คือการพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อนาคตังสญาณ รู้ถึงอนาคตนั้น มันมีของมันอยู่อย่างนั้น

ฉะนั้น สัจจะความจริงไม่มีกาลไม่มีเวลา แล้วเวลาเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เรามีความมั่นคงของเรา เรามีความมั่นคง มั่นคงอย่างไร? มั่นคงที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีการศึกษา ศึกษาแล้วมีปัญญามาก ปัญญามาก กิเลสอนุสัยมันอยู่กับปัญญานั้น ศึกษาสิ่งใดกลัวจะเสียเปรียบ กลัวจะเสียเปรียบ กลัวตัวเองจะไม่ได้ผล ให้กิเลสมันครอบงำของมันอยู่อย่างนั้น “มรรคผลนิพพานมันจะมีจริงหรือเปล่า คุณงามความดีจะมีจริงหรือเปล่า ทุกอย่างมีจริงหรือเปล่า” สั่นไหวไปหมดเลย นี่ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วมันมีความจริงอยู่ตรงไหน ถึงว่ามันเป็นปริยัติ ปริยัติคือการศึกษา

การศึกษามีความจำเป็นไหม? มีความจำเป็น แต่เขาศึกษามาให้ปฏิบัตินะ เขาไม่ได้ศึกษามาให้โกง โกงว่าเป็นสมบัติของเรา เพราะมันลืมไง ศึกษามากน้อยขนาดไหนเดี๋ยวมันก็ลืม ลืมก็ไปทบทวน “อ้าว! ก็คอมพิวเตอร์มันมีอยู่ พระไตรปิฎกมีอยู่ มันจะเสียหายตรงไหน ก็ไปทบทวน”...ใช่ ทบทวน ทบทวนนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่กิเลสในใจของเรามันต่อต้านไง กิเลสของเรามันขับไสไง มันถึงไม่เป็นความจริง

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ ทำให้จิตมันสงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตสงบเข้ามา ขนาดแค่จิตสงบแล้วมันยังมีความมหัศจรรย์ เพราะจิตมันสงบแล้ว ดูภาชนะสิ บาตรของเรา เช้าออกบิณฑบาต เขาต้องเอาน้ำในบาตร แล้วหมุนให้น้ำชำระสิ่งสกปรกออกไป ไปบิณฑบาตมามันก็เป็นอาหารที่สะอาดบริสุทธิ์

ถ้าภาชนะของเรา บาตรของเรามีแต่สกปรก มีแต่ของหมักหมมอยู่ บิณฑบาตมา อาหารนั้นมันก็สกปรก จริงไหม เวลาเราทานอาหาร เราก็ว่าภาชนะเราต้องสะอาด ภาชนะเราต้องกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เขาว่าของเขานะ กลัวจะมีเชื้อโรค แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันเปิบๆๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันจะมีความจริงมาจากไหน เขาศึกษามาให้ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติโดยความไม่มีครูบาอาจารย์ก็ปฏิบัติด้วยสามัญสำนึกของตน นี่ไง ฆราวาสสอนธรรมๆ ก็ปฏิสัมภิทาญาณ มีความแตกฉานในการขี้โม้ มันไม่มีความจริงตรงไหนเลย

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริง ถ้าจิตสงบ จิตสงบ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ ปัญญาเกิดมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ปัญญาไม่ใช่เกิดมาจากพื้นฐานของสัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เราเกิดขึ้น ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี้มันเป็นปัญญาของปุถุชน มันเป็นปัญญาของโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้

เราศึกษาด้วยความไม่รู้ใช่ไหม ถ้าเรารู้ ไปศึกษาอะไร เพราะเราไม่รู้เราถึงศึกษา ศึกษาแล้วมันรู้หรือยัง รู้แล้วมันเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาในการศึกษา มันไม่ใช่ปัญญาจากการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันจะเป็นปัญญาจากการประพฤติปฏิบัติจริงๆ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา แค่ใจสงบ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะบอกว่าความสงบนั้นคือนิพพาน ทุกคนติดหมด ติดหมดเพราะไม่มีพื้นฐานไง

แต่เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านทำของท่านมาจนสังคมเชื่อถือไง หลวงปู่มั่น ในประวัติหลวงปู่มั่นท่านสำเร็จมาจากเชียงใหม่ เวลาท่านลงมากรุงเทพฯ แล้วท่านจะไปภาคอีสาน ไปที่โคราช ในประวัติหลวงปู่มั่น คหบดีถามเลยว่า เขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือเปล่า เขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือเปล่า

หลวงปู่มั่นเวลาท่านตอบ ท่านตอบว่า ความเป็นจริงในใจของท่าน โลกจะรู้กับท่านได้อย่างไร

ท่านก็ไม่ประกาศตนว่าฉันเป็นพระอรหันต์ เพราะร่ำลือมาว่าเป็นพระอรหันต์ เขาส่งไม้มาก็รับไม้ต่อเลยไง นี่ไง ปัญญาโลกๆ ไง ถ้าเป็นคนที่มีปัญญาจริง มันเป็นสมบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันเป็นสมบัติภายในอันนั้น มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันสว่างโพลงในหัวใจของท่าน ท่านพูดออกไป แล้วไอ้หัวใจที่มืดบอด ไอ้หัวใจที่อวิชชาครอบงำมันอยู่ มันจะรู้ได้อย่างไร ถ้ามันรู้ไม่ได้ พูดไปต่อหน้ามันก็ฟัง พอลับหลังไปมันก็ไม่เชื่อ ถ้ามันจะเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเลย เพื่อจะให้ความมั่นคง ให้ชาวพุทธเราเชื่อมั่นว่า กึ่งพุทธกาลศาสนายังมีอยู่ มรรคผลยังมีอยู่ ในการกระทำของเรา สัจจะความจริง ใครปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คนนั้นจะได้สัจธรรมในหัวใจดวงนั้น นี่ด้วยความมั่นคง ด้วยครูบาอาจารย์ ส่งต่อมา หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น ส่งต่อมาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาด้วยความเป็นจริง ท่านก็วางตนของท่านด้วยความเหมาะสม

ไอ้พวกฉวยโอกาส เพราะครูบาอาจารย์ท่านวางรากฐานจนสังคมมั่นคงแล้ว ไอ้พวกฉวยโอกาส “ปฏิสัมภิทาๆ”

ปฏิสัมภิทามาจากไหน อะไรเป็นปฏิสัมภิทา มันไปพูดเอาที่วิบาก คือที่ผลไง แต่มันไม่พูดถึงการกระทำ ไม่พูดถึงความจริงไง มันไม่พูดถึงที่มาสัจจะความจริง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น พระอรหันต์มีประเภทเดียว ประเภทที่ว่าอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจนั้นเป็นพระอรหันต์ แล้วที่มันแตกแขนงไป พระอรหันต์มีกี่ประเภทนั้นมันเป็นจริตนิสัยมีการสร้างสมมา เพราะการคิดของคน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ถ้าจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน เวลามันได้สิ่งใดมามันมีมุมมองแตกต่างกันไป แต่เวลาความสะอาดบริสุทธิ์สิ เจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เจตนาที่ไม่มีอวิชชา เจตนาที่ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนี้สำคัญ เพราะเจตนาอันนี้ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ความที่มันฉ้อฉล ความที่มันจะไปพลิกแพลง ไปฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ มันไม่มี ไม่มี มีแต่จิตใจที่เป็นธรรม จิตใจที่เป็นธรรมนะ ให้โลก ให้สังคมอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข ให้โลก เป็นตัวอย่างที่ดีกับโลก ให้โลกมั่นคง นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนี้ นี่พูดถึงวัดที่น่าเชื่อถือน่าศรัทธาไง

ในวัดเราไม่มีอะไร ขโมยมันเข้ามารื้อมาค้น มันก็ออกไป ทีนี้มันก็จะไปเอาของโยมนั่นน่ะ แล้วบอกว่าวัดนี้รวย วัดนี้ร่ำรวยมากคนมา

ในวัดมีอะไร ขโมยมันมาตรวจสอบแล้ว มันงัดเข้าไปแล้วมันไม่ได้อะไรไปเลย เวลามันไปงัดของโยมนู่นน่ะ มันทุบรถนู่นน่ะ นั่นมันของใครล่ะ ของโยมทั้งนั้น

วัดนี้ร่ำรวย...ไม่ได้ร่ำรวย ถ้าร่ำรวย พระเรามีอัตตสมบัติ พยายามค้นคว้าหาความจริงในใจของเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเกิดจากกระแสสังคม สังคมเขาก็มองกันอย่างนั้นแหละ “โอ้โฮ! วัดนี้ร่ำรวย” เขามองแต่เปลือก เขาว่าร่ำรวย ถ้ามามองอย่างนี้ บิณฑบาตร่ำรวย ร่ำรวยเพราะว่าศรัทธาของโยมเขา พระมีอะไร พระไม่มีอะไร แต่โดนงัด ๗ หน ๘ หนแล้ว จุดไฟเผากุฏิด้วย นี่เขาทำ เห็นไหม

มันเป็นกระแสสังคมทั้งนั้นแหละ ถ้ากระแสสังคม กระแสสังคมคือกระแสสังคม พระมาจากคน สังคมที่มันขาดแคลน สังคมที่มันทุกข์มันยาก เขาก็ปากกัดตีนถีบ แต่ถ้าเขาไปร้องเรียน เขาไปขอความช่วยเหลือ นั้นก็เป็นการช่วยเหลือเจือจานกันทางสังคม แต่ถ้าไปฉกลัก มันก็เป็นบาปเป็นกรรมไป แล้วถ้าฉกลักผู้ที่ทรงศีล มันก็มีบาปมีกรรมต่อเนื่องกันไป มีมากมีน้อยมันมีเหตุมีผลของมัน นี่พูดถึงสังคมโลกไง

แต่ของเราล่ะ เราจะต้อง ภิกษุใช้สิ่งใดแล้วไม่เก็บดูแล เป็นอาบัติปาจิตตีย์

ญาติโยมจะมาวัดมาวา สมบัติอย่าเอามาเยอะนะ รถคันหนึ่งก็อัดกันมาเต็มๆ ก็ได้ ไม่ต้องเอาคนละคัน คันละคน ไม่มีที่จอด แล้วเขาก็ว่าวัดนี้ร่ำรวยๆ

มันร่ำรวยตรงไหนวะ มันไม่เห็นร่ำรวยตรงไหน ไม่ร่ำรวย แต่มันเข้ามางัด มันก็พิสูจน์แล้วว่าของพระไม่มี งัดแล้ว เผาแล้ว ทุกอย่างจบ มีเท่านี้ แต่ของโยมยังจะมีหายไปเรื่อยๆ แล้วพอมาแล้วนะ ถ้าทีนี้ของใครเตือนกันนะ ถ้าใครหาย เอ็งไปแจ้งความเอง ไม่ไหว ปวดหัว ไม่รับรู้ๆ เพราะวัดนี้วัดไม่มีสมบัติสิ่งใด ถ้าจะมีก็มีแต่ทางจงกรม แล้วพยายามขวนขวายหาทรัพย์สมบัติของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา หาคุณธรรมของเรา หาหัวใจให้มันหลุดพ้นจากการบีบคั้นของกิเลส เอวัง